วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พริก..ไม่ได้ช่วยลดความอ้วน

พริก..ไม่ได้ช่วยลดความอ้วน

ปัจจุบันการมีหุ่นที่ผอมเพรียว ได้รูป เป็นสิ่งที่สาว ๆ หลายคนใฝ่ฝัน แต่กว่าที่จะได้รูปร่างแบบนั้นได้ ก็ต้องฝ่าฝันกับอุปสรรคทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายสำหรับคนที่ไม่เคยคิดที่จะเล่นกีฬา การทานผัก ผลไม้ให้มากกว่าขนมจุบจิบ หรือแม้แต่การรับประทานยาลดความอ้วน ซึ่งเป็นวิธีที่ที่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นวิธีทีทำให้รูปร่างของคุณกลับมาอ้วนอย่างเก่าได้ง่ายที่สุด เมื่อรู้ว่าการรับประทานยาลดความอ้วน มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย หลายคนจึงหาทางออกโดยมองหาสมุนไพรตามธรรมชาติมาใช้ในการลดความอ้วน สารสกัดจากพริกจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นำมาใช้ ดังนั้นจึงเป็นคำถามที่หลาย ๆ คนสงสัยว่าสารสกัดจากพริก ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ จากการศึกษาพบว่า Capsaicin เป็นสารในพริกที่ให้รสเผ็ดร้อน ดังนั้นจึงมีผู้นำพริก หรือสารสกัดจากพริกมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก โดยมักจะกล่าวอ้างว่า Capsaicin ในพริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและลดความอยากอาหาร จากการศึกษาในคนพบว่า อาหารรสเผ็ดที่มี Capsaicin อาจช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานได้ประมาณ 200 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าการรับประทานอาหารรสเผ็ดไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการใช้ออกซิเจน การใช้ไขมันของร่างกาย หรืออุณหภูมิของร่างกาย และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนการใช้ Capsaisin เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีผลเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ และทางการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนอีกด้วย ดังนั้นผู้บริโภคควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือบริโภค และขอบอกว่าการลดความอ้วนที่ดีที่สุด และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย คือ การรับประทานผัก ผลไม้ให้มาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และที่สำคัญขับถ่ายให้เป็นเวลา เท่านี้คุณก็ไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนแต่อย่างใด
ข้อมูลจาก

http://www.thaihealth.info/nutrition63.asp

กินอาหารเผื่อแผ่ผิวพรรณ



กินอาหารเผื่อแผ่ผิวพรรณ



ระหว่างการใช้เครื่องประทินผิวสารพัด กับ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพผิวนั้น อาจจะแตกต่างกันในวิธีการ เหมือนยาทาภายนอกห้ามกินกับยาที่ต้องใช้กินอย่างเดียว แต่เหมือนกันในเป้าหมาย นั่นคือ ทุกคนอยากให้ตัวเองผิวนวลเนียนสวย ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งคุณผู้ชาย ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็สนใจในการรักษาผิวไม่แพ้เพศหญิงนัก

แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า อาหารชนิดเดียวกัน คนหนึ่งกินแล้วสวยสดใสแต่มันกลับทำร้ายผิวพรรณของอีกคนหนึ่ง เหมือน ๆ กับที่เครื่องสำอาง สบู่ โฟมบางชนิดคนหนึ่งใช้ได้ใช้ดี อีกคนแตะเมื่อไหร่เป็นสิวเห่อนั่นแหละ

ทีนี้เรามาสำรวจอาหารที่จะช่วยเผื่อแผ่ผิวพรรณของคุณเมื่อรับประทานเข้าไปดีกว่า เพราะแค่ทามอยเจอร์ไรเซอร์ราคาแพงอย่างเดียวน่ะ ไม่เพียงพอต่อการที่จะทำให้ผิวพรรณของคุณสวยสดใสหรอกนะ
สาวผิวแห้ง
สาวผิวมัน
สาวผิวแพ้ง่าย
ผิวที่โดดแดดเผา


ข้อมูลจาก : http://www.thaihealth.info/nutrition64.asp

โยเกิร์ตกับสุขภาพ

โยเกิร์ตกับสุขภาพ




ศูนย์วิจัยเนสท์เล่รายงานสรุปผลงานวิจัยของออสการ์ อะดอฟซัน ซิมิน นิคบิน เมดานิ และ โรเบิร์ต เอ็ม รัสเซล ที่ตีพิมพ์ในวารสารโภชนคลินิกของอเมริกันเมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า มีการศึกษาวิจัยจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แสดงให้เห็นถึงผลดีต่อสุขภาพของ การรับประทานโยเกิร์ตและเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิตโยเกิร์ต ช่วยป้องโรคระบบทางเดินอาหารได้
ไม่ว่าจะเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ อย่างอาการท้องผูก ท้องร่วง ไปจนถึงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคที่เกิดการอักเสบในช่องท้อง โรคติดเชื้อจากแบคทีเรียชื่อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร และโรคภูมิแพ้ต่างๆ ผลการทดลองนี้ได้แสดงให้เห็นผลทั้งในคนและสัตว์ทดลอง ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการจากโรคระบบทางเดินอาหารเหล่านี้ จะมีอาการดีขึ้นหลังจากการรับประทานโยเกิร์ต
ซึ่งโยเกิร์ตและเชื้อจุลินทรีย์ในกลุ่มของแลคติคแอซซิดแบคทีเรีย สายพันธุ์ของแลคโตบาซิลลัสและสเตร็ปโตคอกคัส จะมีผลโดยตรงต่อเชื้อจุลินทรีย์ในระบบลำไส้ ช่วงระยะเวลาที่อาหารอยู่ในลำไส้ การขยายตัวของเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าผลการศึกษาวิจัยนี้แสดงให้เห็นผลดีของการรับประทานโยเกิร์ต
แต่ผลการศึกษาในบางครั้งก็ให้ผลที่แตกต่างกัน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากความแตกต่างของสายพันธุ์ของแบคทีเรียที่ใช้ หรือวิธีการให้โยเกริ์ต และขั้นตอนการตรวจสอบ ซึ่งจะต้องทำการทดลองเพื่อยืนยันผลจากการศึกษาต่อไป

ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.info/nutrition66.asp

อย. แนะการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

อย. แนะการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป



อย. เผยได้กำหนดปริมาณโซเดียมที่คนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปควรได้รับ ต้องไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน
ดังนั้น การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขอให้ผู้บริโภคดูสูตรส่วนประกอบที่แสดงข้อมูลปริมาณเกลือและผงชูรส
หรือถ้ามีฉลากโภชนาการ ขอให้อ่านโดยละเอียด หากพบอาหารชนิดใดมีโซเดียมสูง ขอให้ใช้วิจารณญาณในการเลือกบริโภค
เพื่อมิให้ได้รับเกินจากที่กำหนด ทั้งนี้เพราะอาหารกึ่งสำเร็จรูปบางประเภทอาจมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบที่ร่างกายจะได้รับในแต่ละวันด้วย
ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ตามที่มีข่าว
จากหน้าหนังสือพิมพ์ถึงการสำรวจปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของวารสารฉลาดซื้อของมูลนิธิ
เพื่อผู้บริโภค พบว่า มีโซเดียมสูงถึง 50-100% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
จึงต้องการให้คนไทยบริโภคอย่างระมัดระวัง นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ในฐานะเป็นหน่วยงานที่ควบคุมกำกับดูแลความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหาร
ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปที่จำหน่ายออกสู่ท้องตลาด จึงขอชี้แจงให้ ผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจในการบริโภคอาหารกึ่งสำเร็จรูป โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่คนไทยทุกวัยนิยมบริโภค ว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจัดเป็นอาหารกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน
โดยมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เช่น ต้องไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค สารเป็นพิษ
และมีข้อกำหนดด้านโภชนาการคือ ต้องมีโปรตีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 8.5 ของน้ำหนัก
นอกจากนี้ องค์ประกอบในบะหมี่ ยังมีแป้ง น้ำมัน/ไขมัน และเครื่องปรุงรส ซึ่งมีเกลือโซเดียม
รวมทั้งผงชูรสอยู่ในซองอีกด้วย ทั้งนี้ อย. ได้กำหนดปริมาณโซเดียมที่คนไทยอายุตั้งแต่ 6 ขึ้นไปควรได้รับ
ไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสอดคล้องกับค่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำหนด
สำหรับการแสดงข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารด้วย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า
ผลิตภัณฑ์มาม่า 1 ซอง หนัก 55-60 กรัม มีโซเดียม 1,480 -1,500 มิลลิกรัม
ผลิตภัณฑ์ไวไว หนัก 60 กรัม มีโซเดียม 1,030 มิลลิกรัม




เพิ่มเติม
http://www.thaihealth.info/nutrition67.asp

7 สุดยอดชนิดอาหารสำหรับผู้หญิง

7 สุดยอดชนิดอาหารสำหรับผู้หญิง
กีวี เป็นผลไม้ที่มีระดับของวิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่ง เรียกว่าเกือบ 2 เท่าของวิตามินซี ที่จะได้จากส้ม 1 ผล เลยทีเดียว วิตามินซีเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซับธาตุเหล็กและโฟเลตอันเป็นสารอาหารที่ผู้หญิงต้องการมากที่สุดได้ดีขึ้น โดยปริมาณของกีวีที่ผู้หญิงต้องการในแต่ละวันนั้นก็เพียงครึ่งผลเท่านั้น จะให้พลังงานเพียง 46 แคลอรี่

เต้าหู้ถั่วเหลือง เต้าหู้ถั่วเหลือง 1 ชิ้นจะให้ปริมาณโปรตีนสูง ยิ่งกว่านั้นในเต้าหู้ถั่วเหลืองยังมีสารที่เรียกว่า ฟีโตฮอร์โมน เป็นสารที่จะช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน และพวกต่อมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการมีประจำเดือนของผู้หญิงทำงานอย่างเป็นปกติ ต่อไปนี้คุณคงจะต้องเพิ่มเต้าหู้ถั่วเหลืองในมื้อใดมื้อหนึ่งของวันซะแล้วล่ะคะ

ถั่วลิสง เป็นอาหารอีกชนิดที่อุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งนอกจากประกอบไปด้วยใยอาหารจำนวนมาก ที่จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การรับประทานถั่วลิสงยังให้ประดยชน์สูงสุด ในหนึ่งมื้อควรจะรับประทานถั่วลิสงให้มากกว่า 7-8 กรัมขึ้นไป เพราะร่างกายนั้นต้องการไฟเบอร์ถึง 25-30 กรัม ต่อหนึ่งวัน

ข้าวกล้อง ให้สารอาหารอันเป็นประโยชน์แก่ร่างกายมากกว่าข้าวขาวถึงเท่าตัว โดยเฉพาะวิตามิน บี อี รวมไปถึงโฟเลต ที่เป็นสารอาหารสำคัญที่จะปกป้องคุณจากการเป็นโรคหัวใจ ที่สำคัญ วิตามิน อี ในข้าวกล้อง ยังมีประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกายหลายๆ ส่วน รวมไปถึงเรื่องสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
กะหล่ำ หรือที่รู้จักกันว่าเป็นผักต้านมะเร็ง ซึ่งนอกจากต้านมะเร็งแล้ว สารอาหารในกะหล่ำยังมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายอีกด้วย ที่สำคัญผักกะหล่ำสามารถให้ผู้หญิงนำไปทำได้หลายเมนูไม่มีเบื่อ

มันฝรั่ง แค่มันฝรั่งผลขนาดพอเหมาะ ก็สามารถให้วิตามินเอ คุณได้อย่างเพียงพอ วิตามินเอที่มากับมันฝรั่งนี้เอง จะช่วยคุณในเรื่องของสุขภาพตา สุขภาพของเส้นผม รวมไปถึงสุขภาพฟันให้แข็งแรง

แซลมอน นอกจากจะเป็นอาหารที่มีไขมันและแครอรี่ต่ำแล้ว ยังมีสารอาหารสำคัญอย่าง โอเมก้า 3 อีกด้วย นอกจากนี้ก้างปลาอ่อนๆ ของแซลมอนยังเป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญสำหรับผู้หญิง เพื่อป้องกันการเป็นโรคกระดูกพรุนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
อาหารทั้ง 7 อย่างเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของอาหารอีกหลากชนิดที่มีให้เราเลือกทาน แต่ก็นับว่าเป็นอาหารสำคัญสำหรับผู้หญิงในการดูแลสุขภาพตัวเอง ดังนั้นการบริโภคของที่มีประโยชน์บ้างก็จะดีมาก แล้วก็ตามใจปากตัวเองให้น้อยลงสักหน่อย เท่านี้คำว่า สวยสุขภาพดี จะไปไหนเสีย
ข้อมูลจาก :


หุ่นดีด้วยถั่ว

หุ่นดีด้วยถั่ว


เมนูอาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนักนอกจากผักและผลไม้แล้ว
เขื่อหรือไม่ อาหารพวกโปร ตีนถั่วเหลืองก็มีส่วนในการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย จากการศึกษาในหลายๆที่ ได้แก่ National Institute of Health ,National Heart,Blood and Lung Institute และ North American Association for the Study of Obesity สหรัฐอเมริกา แนะนำอาหารที่ ช่วยลดน้ำหนักควรประกอบไปด้วยโปรตีนจากพืชและเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ
เนื่องจากโปรตีนเป็นสารอาหารที่สามารถลดความอยากอาหารและทำให้รู้สึกอิ่ม ทำให้สา มารถทานอาหารได้น้อยลง โดย ดร.อาณดี นิติธรรมยง สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล กล่าวว่า โปรตีนถั่วเหลืองนั้นเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูงและมีความสมบูรณ์เทียบเท่า คุณภาพโปรตีนในน้ำนม ไข่และเนื้อสัตว์ แต่มีไขมันชนิดอิ่มตัวต่ำและไม่มีคอเลสเตอรอลเป็นองค์ประกอบเหมือนโปรตีนชนิด อื่น จึงมีไขมันต่ำและให้พลังงานรวมในปริมาณที่ต่ำ มีการวิจัยพบว่า โปรตีนถั่วเหลืองสามารถช่วย ลดน้ำหนักในผู้บริโภคบางรายที่เลือกรับประทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL ในเลือดด้วย "ถ้าคุณคิดจะควบคุมน้ำหนัก แทนที่จะรับประทานอาหารขยะที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงๆ หันมาเลือกรับเมนูประเภทถั่วเหลืองแทนจะดีกว่า สมัยนี้มีให้เลือกมากมาย ทั้งนมถั่วเหลือง โยเกิร์ต จากถั่วเหลือง อาหารแท่ง ไอศกรีม หรืออาหารที่ใช้โปรตีนถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบ แต่ฉลาด เลือกสักนิด คุณก็จะทั้งอิ่มอร่อย ทั้งมีสุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยาก ที่สำคัญควรออกกำลังกายควบคู่กันไป ด้วย เพียงเท่านี้เรื่องความอ้วนก็คงไม่ใช่ปัยหาใหญ่อีกต่อไป
ข้อมูลจาก : http://www.thaihealth.info/nutrition69.asp

น้ำชา...ชูกำลัง



น้ำชา...ชูกำลัง




“ใบชาต้ม” เป็น “น้ำชา” ที่ได้จากการต้มใบชาด้วยน้ำ

การนำใบชามาต้มจะทำให้ได้ตัวยาสำคัญในใบชามากขึ้น

โดยเฉพาะสารฝาด (tannins) ที่อาจทำให้ท้องผูก และอัลคาลอยด์ (alkaloids)

ที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เช่น กาเฟอีน (caffeine) เธโอโบรมีน (theobromine)

“น้ำชา”






องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำว่า ควรดื่มชาในระหว่างอาหารอย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันเราทราบว่าการดื่มชาเขียววันละ 4-5 ถ้วย จะทำให้สุขภาพดี มีอายุยืน และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลายอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือดรวมทั้งโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ ยังมีชาสมุนไพรของไทยหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ชาหญ้าหวาน ซึ่งจะให้ความหวานกว่าน้ำตาล 300 เท่า ไม่ทำให้อ้วน เหมาะสำหรับผู้เป็นเบาหวานและไขมันในเลือดสูง ชาชะเอม สรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และสำไส้ รักษาเส้นเลือดขอด บรรเทาอาการผิวหนังแตกเป็นขุย ชาเตยหอม สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ ดับพิษไข้ ชูกำลัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ และมีกลิ่นเตยหอมที่ทานแล้วชื่นใจ สำหรับคนรักสุขภาพ และนิยมสมุนไพรของไทยก็ลองหาซื้อมารับประทานได้ค่ะ
อ่านเพิ่ม<http://www.thaihealth.info/nutrition71.htm>

My favourite

ความชอบส่วนตัว

ชอบ : คนจริงใจ

สีที่โปรดปราณ : เขียว ขาว ดำ

ดาราที่ชื่นชอบ : ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง , ธนา สุทธิกมล















สัตว์เลี้ยงที่ชอบ : สุนัข

ของขวัญชิ้นโปรด : อะไรก็ได้ที่ได้จากคนที่เราชอบ

ดนตรี : ขอให้ฟังแล้วเพราะก็พอแล้ว

กีฬา : แบดมินตัน, กอล์ฟ (เรียนเทอมที่แล้วสนุกดี )

เมนูเด็ดส่วนตัว : ข้าวไข่เจียว

สถานที่ท่องเทียวที่ชื่นชอบ : ภูเขา ,น้ำตก
ตัวการ์ตูนที่ชื่นชอบ : Tigger



วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

งานอดิเรก

งานอดิเรก






ฟังเพลง เพราะเวลาที่ได้ฟังเพลงที่ฉันชอบทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลาย
และสบายใจทุกครั้ง

ดูโทรทัศน์ เพราะเวลาที่อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนคุย

ต้องมีโทรทัศน์เป็นเพื่อน

นอน เพราะคนเราเมื่อเรียนมาหนักๆแล้วก็ต้องมีการพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ

(ดูเหมือนว่างานอดิเรกที่กล่าวมาจะไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่)

อ่านหนังสือ เพราะการอ่านหนัสือสามารถทำให้เรารู้จักโลกกว้างขึ้นได้

ปลูกต้นไม้ เป็นงานอดิเรกที่ฉันชอบมากที่สุดเพราะเวลาที่ฉันได้ปลูกต้นไม้หรือเวลาที่ได้รดน้ำ
พรวนดิน ทำให้ฉันสบายใจลืมเรื่องที่เครียดๆ ไปได้ ทำให้รู้สึกสบายใจ และมีความสุข
เวลาที่เห็นต้นไม้แล้วรู้สึกสดชื่น ถ้าเป็นต้นไม้ที่เราปลูกเราก็จะยิ่งภูมิใจว่าเราสามารถดูแลมันให้
เติบโตและสวยงามได้


สมุนไพรไทย ใครว่าธรรมดา ภาค3

สมุนไพรไทย ใครว่าธรรมดา ภาค3

สวัสดีค่า มิตรรักนักอ่านทั้งหลาย และแล้วก็ดำเนินมาถึงภาคจบเสียทีนะคะ สำหรับสมุนไพรไทยที่ปรากฏกายอยู่ในคลิปวิดีโอของมูลนิธิสุขภาพไทย ยืดยาวมาเสียหลายตอน หลายๆท่านจะเบื่อกันซะก่อน เลยปวารณากับตัวเองว่าจะจบให้ได้ภายใน Entry นี้ค่ะ ^___^ เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
ส่วนสมุนไพรชนิดสุดแรกที่จะแนะนำในวันนี้คือใบพลับพลึงค่ะ ใบพลับพลึงนั้น คนโบราณจะรู้กันดีว่าสามารถนำมารักษาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ คลายเส้น แก้อาการฟกช้ำปวดบวม ได้นะคะ ดังที่เห็นในคลิปวิดีโอ และยังสามารถนำไปใช้กับคุณแม่ที่เพิ่งคลอด หรืออยู่ไฟได้ โดยเอามาประคบหน้าท้อง ทำให้มดลูกเข้าที่อยู่ตัว น้ำคาวปลาแห้ง ขจัดไขมันส่วนเกิน และขับของเสียต่างๆออกจากร่างกายคุณแม่ที่เพิ่งคลอดได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ขับเสมหะ เป็นยาระบาย ทำให้คลื่นเหียนอาเจียน รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะและน้ำดี
ภาพประกอบจาก : siamensis.org

มากไปกว่านั้น ส่วนอื่นๆของต้นพลับพลึงยังสามารถรักษาโรคอื่นๆได้อีกเช่น เมล็ดสามารถขับเลือดประจำเดือนให้ออกมาให้หมดได้ด้วย และ รากสามารถนำมาตำแล้วพอกแผลก็ได้ด้วยค่ะ และยังมีสรรพคุณอีกมากมายนานัปการค่ะ
มาถึงสมุนไพรตัวที่ 2 ที่จะกล่าวถึงในคราวนี้นะคะ คือ กะเพรา ค่ะ กะเพราที่เรานำมาทำอาหารเนี่ยแหล่ะคะ พื้นๆเลย ก็ช่วยเรื่องขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด นอกไปจากนั้น กะเพรายังช่วยแก้ปวดท้อง และควบคุมธาตุต่างๆ ระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินอาหารให้ทำงานดี และเมื่อนำมาใส่แกงเลียงก็จะช่วยคุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกเรียกน้ำนมได้เป็นอย่างดี และยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วยค่ะ
ภาพประกอบจาก : fm100cmu.com
ถ้าเอามาใช้รักษาโรคหรือบำรุงภายนอก ก็จะเป็นได้ทั้งยารักษากลากเกลื้อน แก้ลมพิษ แมลงสัตว์กัดต่อย โดยการรักษาที่กล่าวมาทำได้โดยการเอากะเพรามา 1 กำมือ ตำให้แหลกแล้วผสมกับเหล้าขาว แล้วทาไปยังจุดที่เป็น ถ้าเป็นหูดก็เอาใบกะเพราถูไปที่หูดโดยตรงได้เลยค่ะแล้วหูดก็จะฝ่อหายไปเองค่ะ
และใบกะเพรายังสามารถนำมาไล่แมลงได้ด้วยนะคะ โดยน้ำมันที่สกัดมาจากใบกะเพราสามารถไล่แมลงวันทอง และไล่ยุงได้ค่ะ
สมุนไพรชนิดที่ 3 ที่จะกล่าวถึงในวันนี้คือ ตะไคร้ ค่ะ แน่นอนว่าตะไคร้เป็นสมุนไพรอันดับต้นๆที่นำมาประกอบอาหารรับประทานง่ายมาก ทั้งยำตะไคร้ น้ำตะไคร้ ต้มยำ ฯลฯ
ภาพประกอบจาก : fm100cmu.com
ในส่วนของลำต้นนั้นสามารถใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังบำรุงธาตุให้เจริญอาหาร ช่วยขับเหงื่อเมื่อทานประกอบกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ
ส่วนของหัวใช้เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้ และอีกมากมายค่ะ ส่วนรากใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
ภาพประกอบจาก : Thaifoodtoworld.com
มากไปกว่านั้น ตะไคร้ยังมีสรรพคุณดับคาว ยกตัวอย่างเช่นเวลาที่คนใต้จะต้มปลาเพื่อเอาเนื้อปลามาทำน้ำยาขนมจีน ก็มักจะต้มปลาแดงกับตะไคร้เพื่อดับกลิ่นคาวปลา หรือใส่ตะไคร้ในเครื่องแกงต่างๆเพื่อดับคาวเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่ใส่ในแกง
และสมุนไพรชนิดสุดท้ายที่อยู่ในคลิปวิดีโอก็ได้แก่เจ้า กิ่งข่อย นั่นเองค่ะ หลายๆท่านคงทราบกันดีอยู่ว่า เจ้ากิ่งข่อยใช้ในการแปรงฟันแทนแปรงสีฟันได้(แต่ต้องทุบให้นิ่มๆก่อนนะคะ ไม่ใช่ใช้ทั้งแข็งๆ ไม่งั้นจะหาว่าสวยไม่เตือนไม่ได้นะคะ อิอิ) เปลือกสามารถรักษาแผล แก้ท้องร่วง ดับพิษภายใน และเมื่อต้มกับเกลือจะได้เป็นยาอมแก้รำมะนาด
ภาพประกอบจาก : gotoknow.org
ส่วนของรากสามารถนำมารักษาแผลได้ ตัวเนื้อไม้สามารถนำมามวนยาสูบได้ ตัวเมล็ดก็นำมารับประทานเป็นยาอายุวัฒนะได้ ทำให้เจริญอาหารด้วยค่ะ
และแล้วก็มาถึงตอนจบจนได้ อิอิ กลัวใจตัวเองจริงๆว่าจะต่อออกไปอีกหลายตอน แต่สุดท้ายก็ครบถ้วนกระบวนความตามในคลิปนะคะ ^____^ หวังว่าทุกๆท่านจะมีความสุขกับการชมคลิปโฆษณาน่ารักๆ และความรู้ที่ HealthyMania มานำเสนอนะคะ ยังไงก็ติชมกันเข้ามาได้นะคะ และถ้าข้อมูลตกหล่นตรงไหน ก็สามารถเขียน comment เข้ามาคุยกันได้นะคะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ

อาหารตามกรุ๊ปเลือด

อาหารตามกรุ๊ปเลือด

เรื่องของอาหารตามกรุ๊ป เลือดหรือหมู่เลือด เป็นอีกหนึ่งองค์ความรู้ในการดูแลสุขภาพที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาเรื่องความเจ็บป่วยของมนุษย์



โดยดูที่องค์ประกอบของเลือดและธรรมชาติการกำเนิดของมนุษย์ เฉกเช่นเดียวกับองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทย ที่มององค์ประกอบของมนุษย์เกิดจากธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ และมีวิธีการรับประทานอาหารที่เหมาะกับธาตุเจ้าเรือน เพื่อสร้างธาตุเจ้าเรือนในร่างกายกับธาตุภายนอกให้มีความสมดุลกัน การแพทย์แผนไทยจึงมีทฤษฎีธาตุเจ้าเรือนเป็นพื้นฐานของการดูแลสุขภาพ

อาหารตามกรุ๊ปเลือดเพื่อสุขภาพ ได้นำเสนอโดย ดร.ปีเตอร์ ดาดาโม ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด โดยจำแนกอาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือดต่างๆไว้ ได้แก่

กรุ๊ปเลือดโอ เป็นกรุ๊ปเลือดของมนุษย์ถ้ำหรือนักล่าสัตว์ (เป็นมนุษย์กลุ่มดึกดำบรรพ์และเชื่อว่าเป็นกรุ๊ปเลือดแรกที่เกิดขึ้นในโลก ต่อมาร่างกายเกิดการปรับตัวสู้กับเชื้อโรค จึงมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงเป็นกรุ๊บเอ, บี, เอบี ในเวลาต่อมา) ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือดโอมักเสี่ยงกับการเป็นโรคกระเพาะอาหาร เนื่องจากกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง แต่มีคุณสมบัติดีในการย่อยเนื้อสัตว์ การดูแลสุขภาพเน้นการกินอาหารโปรตีน โดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ และออกกำลังกายให้มากๆ อาหารผักควรเป็นผักที่ได้มาจากการปลูกในที่ที่มีแสงแดด ผัก-ผลไม้ที่มีสี เช่น มะเขือเทศ, พลัม, ลูกพรุน อาหารประเภทสาหร่ายทะเล ควรหลีกเลี่ยงอาหารจากนม, กาแฟ, น้ำอัดลม, ชาดำ, แตงโม, แคนตาลูป, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, ขนมปัง, ถั่วแดง, กะหล่ำปลีและกะหล่ำดอก โดยเฉพาะกะหล่ำปลีและกะหล่ำดอก เพราะมีสารที่ไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ กลุ่มเลือดนี้จะมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไทรอยด์ได้ง่าย




กรุ๊ปเลือดเอ มักเป็นประชากรแถบยุโรป ร่างกายมีกรดในกระเพาะน้อย จึงต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ และอาหารอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ มะเขือเทศ, มันฝรั่ง, พริกไทย, เห็ด, กะหล่ำ, มะกอก, มะม่วง, มะละกอ, ส้ม, ชาดำ, เบียร์, โซดา, น้ำอัดลม ควรรับประทานอาหารพวกปลา, ถั่ว, ข้าว, กระเทียม, ฟักทอง, แครอต, ผักโขม, บล๊อกโคลี่, สับปะรด, เชอร์รี่, มะนาว, ชาเขียว, ไวน์แดง, กาแฟ และน้ำขิง ที่จะช่วยกระตุ้นการหลั่งกรดมากขึ้น ออกกำลังกายชนิดไม่หักโหม เช่น ตีกอล์ฟ, ปีนเขา, ว่ายน้ำ, เต้นรำ, โยคะ, นั่งสมาธิ, รำมวยจีน


กรุ๊ปเลือดบี เป็นประชากรในแถบเอเชีย เป็นกลุ่มบุคคลที่มีการย่อยอาหารและการตอบสนองต่อความเครียดดี อาหารที่ควรรับประทานพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ได้แก่ วัว, ไก่งวง, กระต่าย, เนื้อปลาทะเลลึก เช่น ปลาจะระเม็ด, ปลาตาเดียว, นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ไข่, ข้าวโอ๊ต, ข้าวกล้อง, ผักใบเขียวต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงอาหารจากสัตว์ปีก เช่น ไก่, เป็ด, ห่าน, นก ผลไม้พวกทับทิม, ลูกแพร์, มะเขือเทศ, ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง, งา, เมล็ดทานตะวัน เน้นการออกกำลังแบบไม่ต้องหักโหม และผ่อนคลายร่างกายโดยการฟังเพลงหรือนั่งสมาธิ


กรุ๊ปเลือดเอบี อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ ผลไม้จากเขตร้อน แต่ควรรับประทานน้ำอุ่นผสมมะนาว, องุ่น, พลัม, เบอร์รี่, เชอร์รี่, อาหารพวกเต้าหู้, กระเทียม, หัวไชเท้า, นม, นมเปรี้ยว, ถั่วต่างๆ, ปลาทะเล ออกกำลังกายเน้นที่โยคะ, ปั่นจักรยาน, ตีกอล์ฟ, ว่ายน้ำ

นอกจากนี้ยังมีการรายงานว่า แต่ละกรุ๊ปเลือดนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ แตกต่างกันไป อาทิ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารตามหมู่เลือดก็มีทั้งผู้ที่สนับสนุนและผู้ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อองค์ความรู้นี้ไหลบ่าเข้าสู่วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพแล้ว ก็ลองศึกษาและสังเกตว่าเราบริโภคอะไรเข้าไปแล้วมีผลกระทบ หรือก่อให้ร่างกายมีปัญหาอะไรหรือไม่

อาหารการกินนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพ เรากินอะไรเข้าไปร่างกายเราก็ได้รับสิ่งเหล่านั้น เป็นของดีมีประโยชน์ต่อร่างกายก็เป็นคุณ เมื่อร่างกายไม่รับก็เป็นโทษ มันก็จะแสดงออกมาในรูปแบบของโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่ถ้ากินแบบไทยๆ ก็กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น หรือกินแบบธาตุเจ้าเรือนของไทยก็เข้ากับวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพแบบไทย การกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดก็เป็นความรู้เสริมให้เราได้รู้ว่า โลกของการส่งเสริมการดูแลสุขภาพเขามีความรู้ใหม่ๆ มาเสนอแนวทางในการดูแลสุขภาพให้เรานั่นเอง

แนะวิธีดูแลสุขภาพ ของสาวออฟฟิศ

แนะวิธีดูแลสุขภาพ ของสาวออฟฟิศ

คนหนุ่มสาวและคนวัยทำงานยุคใหม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดตีบเพิ่ม มากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะจากภาวะตึงเครียด ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ความเครียดได้แทรกเข้าไปทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ เหตุการณ์รอบตัว สังคม ครอบครัว รวมไปถึงสถานที่ทำงาน
นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเพื่อสุขภาพ แอ๊บโซลูทเฮลท์ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ผู้คนต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาสำหรับความสบายใจ ความเครียดส่งผลกระทบรุนแรงมาก ทำให้เกิดโรคหลากหลายประการ นอกจากนี้ยังเกิดจากโลหะหนักที่มาจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จากการตรวจสอบพบว่า ปลาทะเลส่วนใหญ่มีโลหะหนักจากโรงงานที่ปล่อยสารพิษลงทะเลและแม่น้ำ ขณะเดียวกันพืชผักมียาฆ่าแมลง ทั้งโลหะหนัก สารเคมี และความเครียด มักจะเข้าไปทำลายหลอดเลือดและส่งผลถึงระดับเซลล์ในร่างกายของเรา”

” คนส่วนใหญ่มักจะรู้ถึงสาเหตุของการเกิดโรค แต่มักจะละเลย ทำให้เป็นโรคร้ายต่างๆ สิ่งสำคัญคือต้องพยายามลดทอนความเครียดในบ้านในที่ทำงานลง พยายามหลีกเลี่ยงตัวแปรที่ทำให้เกิดโรค คนไทยดื่มเหล้าเป็นอันดับ 2 ของโลก อย่างนี้โรคหัวใจมาแน่ บุหรี่ก็สูบกันหนัก เครียดก็ออกไปเที่ยว สูบบุหรี่และดื่มเหล้า เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหนักเข้าไปอีก อาหารการกินวิตามินไม่เพียงพอ เราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ ต้องหันมาดูแลร่างกายและจิตใจให้ผ่องใส สร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงานและที่บ้าน ก็จะทำให้เราสุขภาพจิตดีขึ้น”
สำหรับคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้หญิงวัยทำงาน นพ.ฉัตรชัยกล่าวว่า ในการดูแลสุขภาพตัวเองควรดำเนินการให้ได้ 5 ประการ คือ
1. มองในที่สิ่งที่เราเอาเข้าไปในร่างกาย อากาศที่เราหายใจ น้ำและอาหารที่เราเอาเข้าร่างกาย เมื่อก่อนไม่ค่อยเลือก แต่ต่อไปต้องเลือกให้มากขึ้น จากผลการวิจัยพบว่าสาเหตุการตายจากโรคมะเร็ง เกี่ยวข้องกับยีน 30% อีก 70% มาจากสิ่งแวดล้อม นั่นหมายความว่าโรคมะเร็งเราป้องกันได้สูงถึง 70%
ถ้าอยากมีสุขภาพดีต่อไป เราต้องเลือกอาหาร อาหารที่ใช้น้ำมันทอดไม่ดี จังก์ฟู้ดส์ไม่ดีแน่นอน ผักผลไม้ถ้าอยู่ในบ้านควรล้างให้ดี ถ่านผงล้างสารพิษได้อย่างดี,อากาศ เราควบคุมไม่ได้ แต่อากาศที่เราเปลี่ยนแปลงได้คือห้องนอน ต้องไม่มีฝุ่น มีช่องระบายอากาศ บ้านชานเมืองเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทไหลหมุนเวียน ต้นไม้ให้อยู่ห่างไกลจากห้องนอน เพราะกลางคืนต้นไม้จะคายคาร์บอนไดออกไซด์
2. เอาพิษออก ไม่ต้องเสียเวลาทำดีท็อกซ์ แค่เพียงปฏิบัติด้วยวิธีง่ายๆ คือ ตื่นเช้าเอามะนาว 2 ลูก บีบใส่น้ำ 1 เหยือก ดื่มไปเรื่อยๆ ทานแต่ผักผลไม้ที่มีกากใย กินโยเกิร์ตธรรมชาติ 3 แก้ว ปฏิบัติง่ายๆ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยไม่ต้องไปเสียตังค์เพื่อล้างพิษในราคาแพง
3. อยากได้แรงก็ต้องออกแรง อยากได้สุขภาพดีก็ต้องออกกำลังกาย หลักของ Action : Reaction คือออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ตื่นเช้าตั้งนาฬิกาปลุกตื่นก่อนเวลา 30 นาที ซิตอัพหรือวิดพื้นวันละ 100 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
4. นั่งสมาธิหรือสวดมนต์เช้า 30 นาที ทำไปสักระยะ จิตจะนิ่ง ความเครียดจะหาย สารความเครียดละลาย สุดท้ายก็ไม่เป็นมะเร็ง การที่จิตไม่นิ่ง ฟุ้งซ่าน คิดมาก เรื่องเยอะ ก่อให้เกิดโรคร้ายหลายอย่าง

5. ปรับสมดุลแก่ร่างกาย ต้องไปหาแพทย์เพื่อตรวจดูว่าฮอร์โมนสมดุลหรือเปล่า ปัจจุบันมีทางเลือกในการตรวจรักษาหลายแนวทาง แพทย์แนวธรรมชาติบำบัด จะใช้สารธรรมชาติหลายอย่าง เช่น วิตามิน,อาหารเสริม,ฮอร์โมน จะดูว่าร่างกายสมดุลไหม,มีการใช้พืชสมุนไพรเพื่อลดผลข้างเคียง,ตรวจเอนไซม์ ในร่างกาย เป็นต้น

ผมร่วง สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

ผมร่วง สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

เคยไหมค่ะเวลาที่ลองเอานิ้วลูบหรือสางผมแล้วเส้นผมหลุดติดอยู่ตามร่องนิ้วมือ หรือเวลาหวีผม ผมเส้นเล็กๆ ของคุณก็หลุดลอยติดตามซี่ห่างๆ ของหวีออกมาให้คุณหยิบทิ้งเสมอ ซึ่งหากไม่มากมายหลายเส้นก็อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ โดยปกติคนรามีเส้นผมประมาณหนึ่งแสนเส้นซึ่งแต่ละเส้นจะมีอายุประมาณ 2-4 ปี และจะหลุดร่วงเองตามธรรมชาติเฉลี่ยวันละ 50-100 เส้นต่อวัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันมีเหตุร่วงออกมาเป็นกระจุกเกินกว่าปกติแล้วละก็ถือเป็นสัญญาณอันตรายแก่ศีรษะของคุณอย่างมากเลยทีเดียว เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราควรมารู้จักการดูแลรักษาเส้นผมอย่างถูกวิธี เพื่อผมสวยจะได้อยู่คู่ศรีษะของคุณไปนานๆ ค่ะ
อันดับแรก คงต้องดูว่าเส้นผมของคุณตกอยู่ในภาวะอันตรายหรือเปล่า ซึ่งสังเกตได้จากเส้นผมที่หลุดออกมา โดยแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ เส้นผมที่หลุดออกมาแล้วไม่มีรากผมติดอยู่นั้นถือว่ายังไม่อ่อนแอมาก อาจเกิดจากการหลุดร่วงตามธรรมชาติ หากไม่เกิน 100 เส้นต่อวัน ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ สาเหตุหลักเกิดจากเส้นผมสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง การดัด การย้อม การใช้แชมพูที่ไม่เหมาะกับสภาพเส้นผม รวมถึงความร้อนจากแสงแดดการหวีผมหรือแปรงผมบ่อยจนเกินไป เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เส้นผมอ่อนแอ เปราะบาง หลุดร่วงจากหนังศีรษะ
แต่หากเส้นผมที่หลุดออกมาแล้วมีตุ่มที่โคนผมแสดงว่ารากผมอ่อนแอ หนังศีรษะมีปัญหา สาเหตุหลักเกิดจากปัญหาทางร่างกาย ความเครียด การเจ็บป่วยหรือการใช้ยาบางชนิดที่ฤทธิ์กระตุ้นให้เส้นผมหลุดร่วงซึ่งหากได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี ความเครียดลดลงร่างกายแข็งแรงขึ้น รากผมและหนังศีรษะก็จะแข็งแรงขึ้นตามลำดับ ภายใน 2-3 เดือน เส้นผมก็จะงอกขึ้นมาใหม่ตามปกติ
เคล็ดลับป้องกันผมร่วง กำมะถันช่วยได้
กำมะถันเป็นแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นกรด มีมากในไข่ ปลา อาหารทะเล เนยแข็ง นม และพืชผักที่ปลูกในพื้นดิน สารอาหารเหล่านี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเส้นผมและผิวหนัง รวมทั้งคอลลาเจน ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสร้างสุขภาพที่ดีให้กับหนังศรีษะและเส้นผม เลือกแชมพูให้เหมาะกับเส้นผม
จุดประสงค์หลักของแชมพูคือ ต้องทำความสะอาดเส้นผมได้อย่างอ่อนโยนที่สุด แค่น้ำเปล่าอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะขำระล้างสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจดส่วนใครที่กำลังมีปัญหาผมหลุดร่วง หนังศีรษะไม่เป็นปกติคงต้องเลือกเป็นพิเศษหน่อย เราขอแนะนำให้เลือกใช้แชมพูที่มีค่าความเป็นกรดหรือด่าง หรือค่า pH ที่ 5.5 เพราะเป็นระดับที่เหมาะสมกับความชุ่มชื่นของเส้นผมทั่วไปหากมีค่าความเป็นกรดหรือด่างสูงเกินไป จะทำให้เกิดช่องว่างหรือรูพรุนบนหนังศีรษะ ทำให้เส้นผมอ่อนแอและหลุดร่วงได้ง่าย
สมุนไพรดีที่สุด
สารสกัดที่เกิดจากสมุนไพร นอกจากจะไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะแล้ว ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ยังจะช่วยทำให้คุณมีความสุขกับการสระผมอีกด้วย
ปล่อยตามธรรมชาติ
หลังสระผมเสร็จ ควรเช็ดผมอย่างเบามือ เริ่มจากซับที่ปลายผมก่อนแล้วปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนจากไดรเป่าผม เพราะความร้อนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เส้นผมหลุดร่วง
เชื่อว่าการดูแลผมให้มีสุขภาพดี คงต้องดูแลกันตั้งแต่ภายใน ทานอาหารที่มีประโยชน์ออกกำลังกาย ทำสุขภาพกายใจให้แข็งแรงรับรองเลยค่ะว่าเส้นผมสวยๆ จะอยู่กับคุณไปอีกนานแสนนาน

4 เคล็ดลับเด็ดลดไขมัน

4 เคล็ดลับเด็ดลดไขมัน



คุณรู้จักเคล็ดลับการเผาผลาญไขมันมาแทบทุกอย่างแล้ว แต่นี่คือบางอย่างที่คุณสามารถเพิ่มเข้าไปได้เพื่อจัดการโจมตีไขมันในแบบที่ ต่างออกไป


1. เล่นโยคะตอนเช้าเพียงแค่ 15 นาที การเล่นโยคะในตอนเช้าจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น การย่อยดีขึ้น ทั้งหมดนำไปสู่การเผาผลาญไขมันและแคลอรีที่มากขึ้น และสุขภาพจิตจะดีไปตลอดทั้งวันด้วย






2. ท้าทายตัวเองสัปดาห์ละอย่างการออกกำลัง เพื่อให้ตัวเองแข็งแรงและดูดี ไม่ได้ผลดีเท่ากับการออกกำลังอย่างมีเป้าหมาย เพราะการตั้งเป้าหมายจะทำให้คุณฝึกตัวเองเต็มที่ขึ้น ลองตั้งเป้าหมายในแต่ละสัปดาห์ เช่น การวิ่งขึ้นลงบันไดอย่างรวดเร็ว 10 รอบ แข่งเทนนิสหรืออกกำลังกายที่คุณไม่เคยลองมาก่อน เช่น เต้นระบำหน้าท้อง หรือชกมวย



3. ยกน้ำหนักพร้อมคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอสลับวันกับการยกน้ำหนักเป็นเรื่องดี แต่การออกกำลังแบบคาร์ดิโอสัก 20-30 นาที ด้วยความหนักที่หลากหลายกันหลังการยกน้ำหนัก จะช่วยเผาผลาญไขมันในระหว่างนั้นและหลังจากนั้นอีกหลายชั่วโมง ลองวอร์มอัพด้วยการออกกำลังแบบคาร์ดิโอสัก 7 นาที ตามด้วยการยกน้ำหนัก 40 นาที และออกกำลังแบบอินเทอร์วัลอีก20 นาที มันจะช่วยคุณเผาผลาญไขมันได้สูงสุดในเวลาน้อยที่สุด
ภาพประกอบจาก : wedding.in.th






4. สั้นและหนักหน่วง หมดสมัยของการออกกำลังหรือยกน้ำหนักนานๆ แล้ว ทุกวันนี้เป็นเรื่องการออกกำลังแบบสั้นๆ แต่มีประสิ



ทธิภาพ การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Sports Medicine and Physical Fitness ชี้ว่า การยกน้ำหนักแบบหนักๆ ในช่วงสั้นๆ ทำให้กล้ามเนื้อพัฒนาดีขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการยกน้ำหนักตามปกติ และทำให้มีกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันมากกว่า

ล้างผักเพื่อความปลอดภัย

ล้างผักเพื่อความปลอดภัย



ควรล้างทำความสะอาดผักผลไม้ก่อนนำมารับประทาน โดยเฉพาะผักที่รับประทานสด เพื่อลดปริมาณสารพิษตกค้าง เชื้อโรค และลดการปนเปื้อนของไข่พยาธิ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้งหรือล้างผ่านน้ำไหลนาน 2 นาที หรือแช่น้ำสะอาดนาน 15 นาที จะลดสารพิษได้ประมาณ 50-60%

2. ล้างโดยแช่ในสารละลายต่อไปนี้ ประมาณ 10-15 นาที

• เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 2 ลิตร ลดสารพิษได้ 30-50%
• ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 1 กะละมัง ลดสารพิษได้ 35-45%
• โซเดียมใบคาร์บอเนตหรือผงฟู 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 4 ลิตร ลดสารพิษได้ 50-70%
• น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย ต่อน้ำ 4 ลิตร ลดสารพิษได้ 60-70%
• ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง จะลดยาฆ่าแมลงได้เกือบหมด ในกรณีที่นำผักไปต้ม แกง หรือผัด หากลวกด้วยน้ำร้อนก่อน ก็จะสามารถลดยาฆ่าแมลงลงได้อีก

5 ผลไม้ที่ช่วยล้างพิษ

5 ผลไม้ที่ช่วยล้างพิษ

http://health.kapook.com/fruit/





ผลไม้นอกจากจะมีรสชาติทีอร่อยเป็นที่ถูกปากถูกใจของหลายๆท่านแล้ว ผลไม้ยังมีคุณสมบัติพิเศษช่วยขับล้างสารพิษต่างๆที่ตกค้างในร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี เรามาดูกันว่าผลไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติในการขับสารพิษอย่างไรกันบ้าง


1. แอปเปิล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย แอปเปิลมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น เบตาแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ชื่อเพกทิน ซึ่งสารนี้จะช่วยกำจัดสารพิษทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดี


2. แตงโม แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างไตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต และทำให้สบายท้อง


3. องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกายองุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย อุดมด้วยเกลือแร่ ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย


4. สับปะรด มีเอนไซม์โบรมีลินสูง เอนไซม์นี้ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก


5. มะละกอและมะม่วง ทั้งสองอย่างนี้มีลักษณะคล้ายกัน ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย้อยเพปซินในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย

5 อาหารเพิ่มความเสี่ยง โรคหัวใจ

5 อาหารเพิ่มความเสี่ยง โรคหัวใจ



http://health.kapook.com/heartdisease/





ในปัจจุบันสถิติผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจสูงขึ้นเป็นอันดับสองรองจากโรคมะเร็ง และยังมีแนวโน้มพบในคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจนั้นมีด้วยกันหลายด้านซึ่งปัจจัยหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้ามก็คือเรื่องของอาหาร ซึ่งในวันนี้เราจะมาแนะนำอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ สำหรับผู้ที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
- อาหารไขมันสูงหรือเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น เนื้อหมู เนื้อวัวติดมัน เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา หอยนางรม ไข่แดง และกะทิ


- ขนมหวาน โดยเฉพาะที่อุดมด้วย น้ำตาล กะทิ คอเลสเตอรอล ไข่แดง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ตลอดจนขนมหวานอย่างข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวสังขยา ลอดช่อง ปลากริมไข่เต่า เป็นต้น
- อาหารฟาสต์ฟู้ด แม้จะมีผักแต่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย แต่มากไปด้วยแป้ง ไขมัน และรสเค็ม
- อาหารรสเค็ม ไม่เหมาะกับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว เพราะทำให้เหนื่อยหอบ ตัวบวม หลีกเลี่ยงอาหารปรุงรสเค็มจัด ลดการใช้เครื่องปรุงรสลง เช่น กะปิ น้ำปลา เกลือ เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว ซอส น้ำมันหอย ซุปก้อนลง และงดอาหารหมักดองอาหารกระป๋อง อาหารกึ่งสำเร็จรูป กุ้งแห้ง ปลาเค็มด้วย
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจโตจนอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ส่วนเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง ก็กระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักเพิ่มขึ้น

หลีกเลี่ยงอาหารทั้ง 5 ประเภท เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง

ล้างพิษใน 1 วัน ที่คุณทำเองได้


ล้างพิษใน 1 วัน ที่คุณทำเองได้
http://health.kapook.com/detox/


คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย
หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า
1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้
2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด
3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป
วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว
อุปกรณ์
1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
2. มะนาว 4 ลูก
3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน
วิธีทำ
1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน
2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ
3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

การสมัครgmail

เข้ามาที่ http://www.gmail.com
จากนั้นไปคลิกคำว่าสร้างบัญชี


ให้กรอกรายละเอียดตามตัวอย่างข้างล่างให้ละเอียดที่สุดนะคะ





1. First name : ชื่อ ใส่ชื่อเราลงไป



2. Last name : นามสกุล ใส่นามสกุลเราลงไป



3. Desird Login Name ชื่อการเข้าสู่ระบบที่ต้องการ



4. Check availability! คลิกเพื่อตรวจสอบว่ามีผู้ใช้แล้วหรือยัง



5. Choos a password รหัสผ่าน



6. Re-enter a password กรอกรหัสผ่านอีกครั้ง



7. Security Question เลือกคำถามที่ต้องการ



8. Answer คำตอบ



9. Secondary email เมล์สำรองเพื่อแจ้งปัญหา



10. Location เลือกเป็น ราชอาณาจักรไทย



11. Word Verification พิมพ์คำตามที่ปรากฎในรูป


12. คลิก I accept Create my account (ฉันยอมรับโปรดสร้างบัญชีของฉัน)


จากนั้นก็คลิกที่ แสดงบัญชีของฉัน


ถ้าหน้าจอแสดงดังภาพข้างล่างถือว่าคุณสมัคร gmail สำเร็จแล้ว และสามารถเข้าไปใช้งานได้แล้วค่ะ






การเพิ่มบทความใหม่

เข้าไปที่www.blogspot.com
ใส่ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน ดังตัวอย่างข้างล่าง



คลิก เสร็จเรียบร้อย ดังตัวอย่างข้างล่าง


คลิกไปที่บทความใหม่ เพื่อเพิ่มบทความ


สามารภเพิ่มบทความที่คุณอยากต้องการได้ตามใจชอบ โดยพิมพ์ชื่อเรื่องและป้ายกำกับให้เรียบร้อย




สามารถแสดงตัวอย่างให้ดูก่อนการเผยแพร่บทความ โดยคลิกที่ แสดง




คลิกเผยแพร่บทความ ดังตัวอย่างภาพข้างล่าง




คลิก ดูบล็อก เพื่อที่จะเข้าไปดูบทความที่คุณสร้าง






ถ้าคุณทำตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะได้บทความดังตัวอย่างข้างล่างนี้ค่ะ